top of page
บทเพลง : Gern hab’ ich die Frau’n geküsst
ประพันธ์ โดย : Franz Lehár
เนื้อร้อง : Paul Knepler ,Bela Jenbach
ที่มา :  บทเพลง "Gern hab’ ich die Frau’n geküsst" เป็นบทเพลงที่มาจาก Operetta Paganini ซึ่งเป็นแนวขบขัน มี 3 องค์ ประพันธ์ดนตรี
โดย Franz Lehár นักประพันธ์ชาวฮังการี และประพันธ์คำร้องภาษาเยอรมันโดย Paul Knepler เเละ Bela Jenbach
 
  • Operetta Paganini นั้นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ลำดับที่ 28 ของ Lehár สำหรับ Operetta Paganini (1925) ใช้เวลาสิบสี่เดือนในการเรียบเรียง นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่เกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลที่มีชีวิตจริง Operetta Paganini เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมากความสำเร็จของ Operetta Paganini นั้นเป็นการสนับสนุนให้นักแต่งเพลงดำเนินต่อไปในทิศทางของละครประวัติศาสตร์ และเขาก็เขียนทั้งเรื่อง Der Zarewitsch (1926) และ Friederike (1928) ด้วย Operetta Paganini ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับเสียงของ Richard Tauber นักร้องเพลงชาวออสเตรียผู้ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานของนักร้อง เเต่น่าเสียดายที่ Tauber ไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงรอบปฐมทัศน์ของกรุงเวียนนาของ Paganini ในวันที่ 30 ตุลาคม 1925 แต่เขาสามารถเข้าร่วมในรอบปฐมทัศน์ของเบอร์ลินในวันที่ 30 มกราคม 1926 ได้ 
csm_franz_lehar_colourised_5d69a18b97.pn

อัตชีวประวัติ (Biography) 
Franz Lehár  (1870-1948) เกิดที่เมือง Komárom ประเทศฮังการี เกิดในครอบครัวนักดนตรี

เขาเรียนไวโอลินตั้งแต่อายุยังน้อย และเข้าเรียนที่ Prague Conservatory ต่อมาในปี ค.ศ. 1905 เขาถูกขอให้เขียนเพลงสำหรับ  "The Merry Widow" เเละเเต่งเนื้อร้องเป็นภาษาเยอรมันโดย Viktor Léon และLeo Stein  โอเปร่าเรื่องนี้สร้างจากการแสดงตลกของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1861 ซึ่งมีชื่อว่า "Henri Meilhac Merry Widow"  เเละเมื่อเรื่องนี้ออกเเสดงก็ประสบความสำเร็จในทันที เเละเป็นการนำไปสู่ยุคใหม่ของละครในเวียนนา Lehár ใช้ดนตรีแนววอลทซ์พื้นบ้านในยุโรปตะวันออก แบบดั้งเดิม และแคนแคนของชาวปารีสในการปรับแต่งบทประพันธ์งานนี้ประสบความสำเร็จในระดับสากล และเป็นความสำเร็จทางการเงินสำหรับ Lehár เเต่ถว่าเขาไม่สามารถทำปรากฏการณ์นี้ซ้ำได้ เพราะว่านักดนตรีบางคนแย้งที่ละครเรื่องนี้ดังเป็นเพราะ "The Merry Widow" ได้ปรากฏขึ้นโดยบังเอิญหลังจากที่นักแต่งเพลง operetta รุ่นก่อนเสียชีวิตไป ต่อมาในปี 1916 ได้ประพันธ์ละครเรื่อง  "Die Sterngucker" ต่อมาบทประพันธ์ของเขา ได้รับความสำเร็จครั้งใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อเขาเริ่มเขียนบทประพันธ์ให้กับ Richard Tauber นักร้องโอเปร่าชาวออสเตรีย ทำให้ผลงานของเขากลับมามีความโด่งดังอีกครั้งหนึ่ง

เนื้อเพลง

Gern hab’ ich die Frau’n geküsst,
hab’ nie gefragt, ob es gestattet ist;
dachte mir: nimm sie dir,
küss sie nur, dazu sind sie ja hier!


Ja, glaubt mir: Nie nahm ich Liebe schwer.
Ich liebe heiss, doch treu bin ich nicht sehr,
bin ein Mann, nicht viel dran,
Liebchen fein: ich schau’ auch andre an!

Ich kenn’ der wahrhaften Liebe Glut,
ich weiss, wie weh oft die Falschheit tut,
ich kenn’ die Wonnen,
begonnen mit Freud,


ich sah ihr wenden und enden mit Leid!
Ich kenn’ die Liebe in Dur und Moll,
ich kenn’ sie selig, verrückt und toll,
ich schau’ erwachend und lachend zurück


und such’ im Rausche, im Tausche mein
Glück!

Gern hab’ ich die Frau’n geküsst,
hab’ nie gefragt, ob es gestattet ist;

dachte mir: nimm sie dir,
küss sie nur, dazu sind sie ja hier!

 

I liked to kiss the women,
never asked if it was allowed;
thought to me: take them,
just kiss them, that's what they 're here for!


Yes, believe me: I never took love hard.
I love hot, but I'm not very loyal,
I'm a man, not much to it,
darling fine: I also look at others!

I know the glow of true love,
I know how it often hurts falsehood,
I know the delights,
started with joy,


I saw it turn and end with sorrow!
I know love in major and minor,
I know it blissfully, crazy and mad,
I look back awake and laughing


and seek my
happiness in the intoxication, in exchange

I liked to kiss the women,
never asked if it was allowed;
thought to me: take them,
just kiss them, that's what they 're here for!

ฉันชอบจูบผู้หญิง
ไม่เคยถามว่าได้รับอนุญาตหรือไม่
ว่าพวกเธอคิดยังไงกับฉัน
ไปจูบพวกเธอคือสิ่งที่ฉันชอบ 


ใช่เชื่อฉัน รักจริงหวังเเต่ง 
ความรักมันร้อนแรง เเต่ฉันชอบ
ฉันเป็นผู้ชายไม่สุภาพ 
ฉันรักเธอ เเละก็รักคนอื่นด้วย 

ฉันรู้จักความรักที่แท้จริงที่เปล่งประกาย
ฉันรู้ว่ามันมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นจริง
ฉันรู้ว่ามันคือความสุข
เริ่มต้นด้วยความสุข


ฉันไม่อยากมันเห็นมันพลิกผันและจบลงด้วยความเศร้า!
ฉันรู้จักความรัก
ฉันรู้ว่ามันมีความสุขที่บ้าคลั่งและบ้าคลั่ง
ฉันมองย้อนกลับไปและหัวเราะ


และแสวงหา
ความสุขของฉัน

ฉันชอบจูบผู้หญิง

ไม่เคยถามว่าได้รับอนุญาตหรือไม่

ว่าพวกเธอคิดยังไงกับ

ฉันไปจูบพวกเธอคือสิ่งที่ฉันชอบ 
 

จุดเด่นของเพลง : 
บทเพลงนี้เป็นเรื่องราวของตัวพระเอกหรือ Paganini ที่กำลังบรรยายถึงความรักว่ามันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก เเละกำลังตามหาความรักของตนเองอยู่
ซึ่งบทเพลงนี้จะเเต่งในบันไดเสียงเมเจอร์ ทำให้มีเสียงที่ฟังสบาย เเละสดใส เพราะว่าผู้ประพันธ์ต้องสื่ออารมณ์ของความรัก เเละความสดใสออกมา
ทำให้มีการเเต่งเเนวประสานโดยการใช้สัญลักษณ์ Allegretto moderato  ซึ่งมีความหมาย "จังหวะเร็วปางกลาง" มากำกับจังหวะของการบรรเลงเเนวประสานให้บรรเลงไม่ช้า เเละไม่เร็วมาก ตามด้วยมีการให้เเนวประสานให้มีความดังเบาที่เเตกต่างกันระหว่างห้องที่ 1-2 กับ 3-4 ของช่วงต้นเพลง ซึ่งในส่วนของห้องที่ 1-2 นั้นจะใช้สัญลักษณ์ mf ซึ่งมีความหมายว่า "ค่อนข้างดัง" เเละห้องที่ 3-4 นั้นจะใช้สัญลักษณ์ ppp ซึ่งมีความหมายว่า "เบามาก" 
เพื่อสร้างความเเตกต่างให้เหมือนการเต้นของหัวใจที่กำลังดีใจ
 
g1.png
(1) F. Lehar : Gern hab’ ich die Frau’n geküsst, ห้องที่ 1-4
ในช่วงท่อนกลางของบทเพลงผู้ประพันธ์ต้องการสื่ออารมณ์ของความสนุกสนานในการเล่าเรื่องของตัวพระเอกที่กำลังพูดถึงการจูบครั้งเเรกมา
กับสาวในฝันของตนจึงใช้สัญลักษณ์ Animato ซึ่งมีความหมายว่า "บรรเลงให้มีชีวิตชีวา" เข้ามากำกับการขับร้องในเเนวทำนองหลักของ
นักร้องให้สื่ออารมณ์ของความดีใจออกมามากที่สุด เเละเร่งให้นักร้องนั้นขับร้องเร็วขึ้นเพื่อช่วยสร้างอารมณ์สนุกสนาน เเละดีใจมากขึ้นไป 
g2.png
(2) F. Lehar : Gern hab’ ich die Frau’n geküsst, ห้องที่ 36-57
ในช่วงท่อนสุดท้ายของบทเพลงนี้ ผู้ประพันธ์ต้องการที่จะสื่อถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ตัวของพระเอกนั้น มีต่อนางเอกจึงมีการเเต่งทำนองของ
เเนวทำนองของนักร้องให้มีการขับร้องโน้ตตัว G ซึ่งเป็นโน้ตที่สูง เเละขับร้องโน้ตลากยาวได้ตามต้องการของนักร้อง เพราะต้องการสื่อถึงความรักที่มากมายไม่มีที่สิ้นสุด เเละให้เเนวบรรเลงประสานบรรเลงด้วยสัญลักษณ์ mf ซึ่งมีความหมายว่า "บรรเลงค่อนข้างดัง"เพิ่มความอลังการของความรักที่ตัวของพระเอกสื่อออกมา 
g3.png
(3) F. Lehar : Gern hab’ ich die Frau’n geküsst, ห้องที่ 76-80
งานออกแบบที่ไม่มีชื่อ (3).jpg
ผังเวทีการเเสดงเพลง  Gern hab ich die Frau'n geküsst wunderlich จะมีเพียงตัวผมคนเดียวที่ อยู่บนเวที กับนักเปียโน ที่บรรเลงเเนวประสาน  บทเพลงนี้จะสื่ออารมณ์ของการตกหลุมรักในสิ่งต่าง ๆ ทำให้สิ่งรอบตัวดูพิเศษ
งานออกแบบที่ไม่มีชื่อ (9).jpg
ผังเวทีการเเสดงเพลง Soir Païen  ในบทเพลงนี้จะประกอบผู้บรรเลงทั้งหมด 3 คน มีนักฟลูต 1 คน นักเปียโน 1 คน เเละนักร้อง 1 คน ในฉากนี้ ผมต้องการที่จะสื่ออารมณ์ของการอยู่ภายใต้ความทำให้เเสงไฟบนเวทีนั้นจะค่อยข้างมืดเต่ไม่น่ากลัวเพราะว่าฤดูนี้เป็นเหมือนกับการที่เราได้อยู่ท่ามกลางสิ่งสวยงามที่เราอยากจะเจอภายในความฝัน แต่ว่าการเพ้อฝันยังเป็นเหมือนการช่วยเติมเต็มทั้งกำลังใจในการทำสิ่งที่เรารักกำลังใจในการสู้เวลาเราเจอเรื่องร้าย
bottom of page